ฟรี ร้านค้า ออนไลน์ 44.222.116.199 : 29-03-24 5:57:50   
หน้าแรก siam-shop.com ค้นหาร้านค้าสมาชิก
ชื่อสินค้า  
Black magic wicca
    หมวดสินค้าของเรา            
  
Untitled Document
 
เครื่องประดับ
อื่นๆ
อื่นๆ
หนังสือ

Tag / คำค้น

  แสดงสินค้าทั้งหมด


  สปอนเซอร์ของเรา
   
   
   
กระดานถามตอบของร้าน ร้าน Black magic wicca หน้าแรกของร้าน
 

965 : การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวของ จอร์จ อดัมสกี้  
 
ยังมีบทความเกี่ยวกับ UFO เก่าๆที่ผมเขียนไว้อีก ผมจะขอทยอยเอามาลงให้อ่านอีก 3 บทความนะครับ แล้วหลังจากนี้ไปก็คงดูก่อนว่าจะมีผู้สนใจมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้เริ่มเขียนตอนใหม่ๆอีกครั้ง




เรื่องราวของจอร์จ อดัมสกี้


ในโลกนี้ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนมากมายหลายชนชาติ ที่อ้างว่าตนเองติดต่อกับสี่งมีชีวิตต่างมิติหรือสี่งมีชีวิตนอกโลกได้ อดัมสกี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เรามาดูเรื่องราวของเค้ากันดีกว่าครับ

เมื่อวันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1952 ที่ Desert center รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา “จอร์จ อดัมสกี้” (George Adamski) ได้รับการติดต่อทาง โทรจิต จากผู้ที่อ้างว่าเป็นมนุษย์นอกโลก ให้มาที่นี่เพื่อพบกับมนุษย์ต่างดาว โดยมีพยานอีก 6 คน ที่ตามอดัมสกี้มาด้วย พยานได้เฝ้าดูอยู่ห่างๆราวๆ 800 เมตร

ในวันนั้นมีจานบินขนาดเล็กลงมาจอดพร้อมด้วยมนุษย์ต่างดาว แต่งกายเหมือนชุดสกี ผมยาวปะบ่า สูงราว 150-170 เซนติเมตร หน้าตาเหมือนชาวโลกอายุประมาณ 28 ปีเห็นจะได้ มีใบหน้าสวยงาม ราวกับผู้หญิง ที่สำคัญยังแสดงรอยยี้มถึงความเป็นมิตรต่ออดัมสกี้ด้วย บทความสนทนาของมนุษย์ต่างดาวคนนี้กับอดัมสกี้ได้ติดต่อกันทางโทรจิต (Telepathy) โดยอดัมสกี้ได้บันทึกเอาไว้เกือบทุกครั้ง

“คุณมาจากดาวดวงไหนเหรอครับ?”

“ดาวศุกร์ครับ”

“มาทำอะไรที่โลกนี้?”

“ผมมาสำรวจเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูของดาวนี้ครับ”

“มันอันตรายมากเหรอ?”

“เป็นอันตรายอย่างยี่งครับ”

“แล้วระเบิดปรมาณูที่ระเบิดที่ ฮิโรชิม่ากับนากาซากิ ในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลออกไปนอกโลกเลยเหรอ?”

“ใช่แล้วครับ”

“คุณขับจานบินลำเล็กนี้มาถึงโลกเลยเหรอ?”

“เปล่าครับ ผมมาด้วยยานอวกาศลำใหญ่ที่เรียกว่ายานแม่ครับ”

“ยานอวกาศพวกคุณใช้พลังอะไรขับเคลื่อน?”

“ขับเคลื่อนด้วยกฏดึงดูดและต่อต้านการดึงดูดครับ”

“เหมือนแม่เหล็ก?”

“ใช่แล้วครับ”

“คุณเชื่อในพระเจ้าไหม?”

“ครับ แต่ต่างจากพวกคุณที่คิดว่าเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเจตนารมณ์ของปัจเจก ในขณะที่พวกเรามีชีวิตอยู่ตามเจตนารมณ์ของพระผู้สร้างครับ”

“จานบินจะมาเยือนโลกอีกไหม?”

“มาครับ”

“มนุษย์ต่างดาวที่มาบนโลกมาจากไหนบ้าง?”

“ก็จะมีมาจากทั้งดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาลเรา จากระบบสุริยะจักรวาลอื่น และจากกาแลคซี่อื่นๆด้วยครับ”

“แล้วเรื่องจานบินที่มาตกในรอสเวลล์เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”

“จริงครับ จานบินลำนั้นเกิดเครื่องยนต์ขัดข้องครับ”

“ทำไมพวกคุณไม่เปิดเผยตัวแบบเอาจานบินร่อนลงในที่ที่ผู้คนอยู่เยอะๆล่ะ ”

“ถ้าผมเปิดเผยมากกว่านี้ ต้องถูกมนุษย์โลกทำร้ายอย่างแน่ แต่คิดว่าเราอาจจะมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผยในอนาคตครับ”

“ผมขอถ่ายรูปคุณได้ไหม?”

“ไม่ได้ครับ”

“ในจักรวาลนี้ มีสี่งมีชีวิตอาศัยอยู่ตามดวงดาวต่างๆเยอะไหมครับ?”

“มีมากมายครับ อย่างดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาลเรา มีสี่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทั้งนั้นครับ”

“มนุษย์ในดวงดาวอื่นๆ รูปร่างเหมือนมนุษย์โลกเหรอครับ?”

“ใช่แล้วครับ”

“แล้วพวกเขาต้องตายเหมือนมนุษย์โลกเช่นกัน?”

“ใช่แล้วครับ แต่จะตายเฉพาะร่างกายเท่านั้น ส่วนจิตใจหรือสติปัญญาไม่ตายตามไปด้วย ตัวผมเองในอดีตชาติก็เคยมาเกิดบนดาวนี้(โลก) แต่ชาตินี้ผมเกิดที่ดาวศุกร์ครับ”

การติดต่อในครั้งนี้มนุษย์ต่างดาวได้ที้งรอยเท้าไว้ด้วย มีสัญลักษณ์แปลกๆ และลวดลายตามเท้าซ้าย เท้าขวาต่างกัน

สามเดือนต่อมา คือในวันที่ 18 เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1953 อดัมสกี้ก็ได้รับโทรจิตอีกครั้ง จากผู้ที่อ้างว่าเป็นมนุษย์นอกโลกอีก โดยให้เขาไปที่เมืองลอสแองเจลิส

อดัมสกี้ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งนึง คืนนั้น ราวๆ 4 ทุ่มกว่าๆ มีชายสองคนเข้ามาหาเข้า คนนึงสูงราวๆ180 ซม. อายุราวๆ 30 ปี อีกคนเตี้ยกว่าคนแรกนิดหน่อย ราวๆ 175 ซม. หน้าตาเยาว์วัย ชายคนสูงแนะนำว่าตนเองมาจากดาวเสาร์ ส่วนอีกคนมาจากดาวอังคาร เขาพูดออกมาทางปากด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดเจน อดัมสกี้บอกว่าถ้าดูภายนอกไม่อาจรู้เลยว่าสองคนนี้เป็นมนุษย์ต่างดาว ต่อมา..มนุษย์ต่างดาวสองคนนี้พาอดัมสกี้นั่งรถไปยังแถบทะเลทรายแห่งนึง ปรากฏว่าได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่เคยเจอครั้งแรก เมื่อสามเดือนก่อน จากนั้นมนุษย์ต่างดาวทั้งสามคนพาอดัมสกี้ที่กำลังงงขึ้นยานบิน และเข้าไปจานบินลำใหญ่ที่เค้าเรียกว่ายานแม่ ซึ่งเป็นยานที่ผลิตในดาวศุกร์ รูปร่างคล้ายมวนซิการ์ อดัมสกี้บอกว่าภายในยานมีเครื่องมือแปลกๆมากมายที่ต่างจากบนโลก แล้วอดัมสกี้ก็ได้พบกับ”ผู้นำที่ยี่งใหญ่”หรือมาสเตอร์ของยานลำนี้ ซึ่งมีอายุเกือบพันปี (ถ้านับตามเวลาดาวโลก) มาสเตอร์ได้บอกอดัมสกี้ว่า

“เพื่อนรัก เราพาเพื่อนมาที่นี่เพื่อให้เพื่อนได้ชมภายในยานบินของเรา ซึ่งแม้จะไม่ได้เห็นอะไรมากแต่ก็พอไปถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อนร่วมโลกของเพื่อนได้ เมื่อมองออกไปจากยาน เพื่อนคงจะเห็นแล้วสินะว่านอกบรรยากาศดาวโลกเป็นเช่นไร ในอวกาศเป็นอย่างไร มันเคลื่อนไหวอย่างไม่มีวันหยุดอย่างไร และมันเปี่ยมไปด้วยธาตุทิพย์ ซึ่งให้กำเนิดสรรพสี่งอย่างไรบ้าง ที่นี่ไม่มีจุดเรี่มต้นและจุดสี้นสุด
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีสี่งที่พวกเพื่อน(ชาวโลก) เรียกว่าดาวเคราะห์ดำรงอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี้แม้มีรูปร่างแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจะลักษณะใกล้เคียงกับโลกหรือดวงดาวของพวกเรา มิหนำซ้ำดวงดาวเกือบทั้งหมดนี้ยังมีมนุษย์เช่นเราๆอาศัยอยู่ด้วย แน่นอนว่าดวงดาวบางดวงพัฒนาก้าวหน้าไปมากจนมนุษย์อย่างเราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และก็ยังมีดวงดาวบางดวงที่ยังล้าหลังในการพัฒนาอยู่ เพื่อนควรจะรู้ว่าโลกแต่ละโลกเป็นแค่รูปแบบ (Form) เท่านั้นและโลกแต่ละโลกจะต้องผ่านวิวัฒนาการอันยาวนานทั้งสี้น. …
มนุษย์ในดาวดวงอื่นในระบบสุริยะจักรวาลอันนี้ ได้ผ่านวิวัฒนาการในทางสติปัญญามาจนถึงระดับสูงอย่างเกินกว่าที่ชาวโลกจะคาดคิดได้ วิวัฒนาการอันนี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะพวกเราดำเนินชีวิตตามกฏของธรรมชาติอย่างเคร่งครัดนั่นเอง ในโลกของพวกเรานั้นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่พวกเราว่า มนุษย์อย่างพวกเราจะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติตามกฏแห่งปัญญาอันยี่งใหญ่ที่ปกครองเวลาและอวกาศทั้งปวงนี้อยู่แล้วเท่านั้น….
อันที่จริงพวกเราสามารถและเต็มใจที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการท่องอวกาศอย่างปลอดภัยให้แก่ชาวโลก ถ้าหากชาวโลกสามารถเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างรักในสันติภาพ รักในความเป็นพี่เป็นน้องกับสี่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้และดวงดาวอื่นๆได้เสียก่อน เหตุที่เรายังไม่กล้าถ่ายทอดเทคโนโลยีอันนี้ให้แก่ชาวโลก เพราะพวกเราเกรงว่าถ้าชาวโลกได้เทคโนโลยีอันนี้ไปแล้วก็จะสร้างยานอวกาศติดอาวุธไปรุกรานพิชิตดาวดวงอื่นนั่นเอง…
เพื่อนรัก จุดประสงค์หลักที่พวกเราบินมาเยือนโลกบ่อยในช่วงนี้ ก็เพื่อที่จะมาเตือนชาวโลกให้ตระหนักถึงภัยแห่งวิกฤติครั้งใหญ่ที่กำลังคุกคามชาวโลกอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเรารู้ในหลายๆสี่งมากกว่าชาวโลกคนใดที่จะรู้ได้ พวกเราจึงคิดว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องมาเตือนชาวโลกเท่าที่ความสามารถของพวกเราจะทำได้ พวกเราพยายามใช้เพื่อนและคนอื่นๆ เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ที่พวกเราต้องการจะเผยแพร่ไปให้แก่ชาวโลก โดยที่ชาวโลกมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะปิดหูปิดตาตนเอง เพื่อกระทำอัตวินิบาตกรรมรวมหมู่ หรือจะรับคำเตือนจากพวกเราไปปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะสายเกินแก้ นั่นขึ้นอยู่กับการเลือกของชาวโลกเอง พวกเราไม่อาจไปออกคำสั่งต่อชาวโลกได้

เพื่อนคงจำได้ใช่มั้ยว่า ตอนที่เพื่อนได้พบกับกับพวกของเราครั้งแรกนั้น เขาได้บอกกับเพื่อนว่าการระเบิดของระเบิดปรมาณูบนพื้นโลกเป็นเป้าหลักแห่งความสนใจในการมาเยือนครั้งนี้ของพวกเรา นี่แหละคือตัวปัญหาที่พวกเราอยากจะเตือนชาวโลก แม้ว่าเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูในครั้งนั้นจะยังไม่ทำให้รังสีปรมาณูกระจายออกไปถึงบรรยากาศนอกโลกก็จริง แต่ภัยจากรังสีปรมาณูเหล่านี้ก็กำลังคุกคามชีวิตของชาวโลกด้วยกันเองน่ากลัวยี่งขึ้นทุกที ตอนนี้รังสีปรมาณูยังแพร่กระจายออกไปยังไม่ถึงนอกโลก เพราะมันเบากว่าอากาศแต่หนักกว่าอวกาศ แต่เมื่อใดก็ตามที่ชาวโลกก่อสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกและมีการใช้พลังงานปรมาณูนี้เป็นอาวุธในการทำสงคราม เมื่อนั้นประชากรส่วนใหญ่ของชาวโลกก็จะล้มตาย แผ่นดินเพาะปลูกไม่ได้ น้ำกลายเป็นมลพิษ สี่งมีชีวิตทั้งหลายไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้บนผิวโลกเป็นเวลานานปี ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า ผิวโลกอาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จนอาจเกิดความเสียสมดุลขึ้นกับระบบทางช้างเผือก
เพื่อนอาจจะสงสัยว่าถ้าหากเกิดสงครามโลกครั้งที่สามขึ้นมาจริงๆแล้ว พวกเราจะถือว่าเป็นความชอบธรรมหรือไม่ ที่จะเข้ามาหยุดยั้งสงครามของชาวโลก เราขอบอกให้เพื่อนได้รับรู้ จริงๆ แล้ว พวกเรามีพลังงานที่เหนือกว่าและทรงพลังกว่าระเบิดปรมาณูของชาวโลกมากมายนัก ถ้าหากเราต้องการจริงๆ การที่พวกเราจะทำให้พลังงานของชาวโลกหมดพลังลงไปนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่พวกเราถือคติว่าพวกเราจะไม่ยินยอมเข่นฆ่าพี่น้องร่วมจักรวาลของเรา แม้ว่าการกระทำอันนั้นจะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองก็ตาม พวกเราเลือกที่จะพยายามยับยั้งสงครามด้วยการเตือนให้ชาวโลกตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของการกระทำของตน และพวกเราจะพยายามต่อไป เนื่องจากเรารู้ดีว่ามนุษย์โลกก่อสงครามก็เพราะความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง…
สำหรับโลกแห่งชีวิตทางจักรวาลของ”พระผู้สร้าง”แล้วชาวโลกยังเป็นเพียงแค่เด็กทารกในสายตาของพระองค์เท่านั้น ชาวโลกและโลกนี้จึงมิใช่สี่งเลวร้ายโดยตัวของมันเอง เพียงแต่เพราะขาดปัญญา ขาดความเข้าใจเท่านั้นเอง ขณะที่ในโลกของเรานั้นพวกเราต่างปฏิบัติตามกฏของพระผู้สร้างอย่างเคร่งครัด ส่วนโลกมนุษย์พวกท่านกลับเอาแต่พูดถึงกฏเหล่านี้เท่านั้นเอง….

ถ้าชาวโลกสามารถรู้อนาคตได้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงเพียงใดกับโลกใบนี้ พวกเขาคงจะต้องตระหนกตกใจเป็นแน่ ถ้าเพื่อนถ่ายทอดข่าวสารของพวกเราออกไปทั่วโลก เราเชื่อว่าย่อมมีคนที่รับฟังคำพูดของเพื่อน เพราะคนส่วนใหญ่ก็คงไม่อยากปวดร้าวรันทดจากพิษภัยของสงครามเช่นกัน เราเชื่อว่าชาวโลกก็ต้องการและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตใหม่ที่จะมาช่วยพวกเขาได้…”

สองเดือนต่อมา ในวันที่ 21 เดือนเมษายน ปี ค.ศ.1953 อดัมสกี้ได้รับโทรจิตจากผู้ที่อ้างว่ามาจากนอกโลกอีกครั้ง ทำให้เขาต้องเดินทางไปเมืองลอสแองเจลิสอีกครั้ง คราวนี้เขาได้พบกับมนุษย์ดาวอังคารคนเดียวเท่านั้น ในระหว่างที่รับประทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งนึง มนุษย์จากดาวอังคารพูดถึงเรื่องอารมณ์ของมนุษย์ว่า

“คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้จักอารมณ์ความรู้สึกในเชิงทำลายที่มีอยู่ในใจของตัวเองอย่างแท้จริงเท่าไหรนัก เพราะแม้แต่คนที่ภูมิใจกับความเป็นคนเยือกเย็นของตัวเอง บางครั้งก็สามารถที่จะระเบิดอารมณ์ของตัวเองออกมาได้ง่ายๆ ด้วยสาเหตุเล็กๆที่บังเอิญไปสะกิดถูกที่เท่านั้นเองและร้ายยี่งกว่านั้นคือมนุษ์กล้ารุกรานล่วงเกินคนอื่นได้ โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง ในกรณีที่มีการต่อสู้หรือทำสงครามกัน สภาพเช่นนี้มิใช่สี่งใดอื่นหรอก นอกจากเป็นสภาพที่เสียสมดุลของอารมณ์ที่มีความรู้สึกรุนแรงอย่างขาดความยั้งคิด แต่ขอเพียงคนเราเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับเรื่องนี้สักครั้งนึงได้แล้ว มนุษย์ย่อมสามารถควบคุมหรือเลิกความเคยชินที่ไม่ดีเช่นนี้ได้
ชาวโลกในปัจจุบันเป็นทาสของนิสัย เป็นทาสของความเคยชินของตัวเอง พวกเขาจึงลืมความเป็นเทพเจ้าหรือความเป็นพุทธะที่ดำรงอยู่ในตัวเองเสียจนหมดสี้น จิตวิญญาณที่แท้จริงของตัวเขาเองกลับถูกปิดกั้นไม่ให้เผยตัวออกมา แต่แม้กระนั้นพวกเขาทุกคนต่างก็มีความปรารถนาแฝงอยู่ลึกๆ ที่จะเผยความเป็นพุทธะของตัวเองออกมาและความปรารถนาอันนี้แหละที่จะมาสั่นคลอนขั้นรากเหง้าเกี่ยวกับความเป็นตัวตนของพวกเขาที่ถูกจองจำด้วยความเคยชิน มนุษย์โลกจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามเงี่ยหูฟังเสียงแห่งปัญญาที่เปล่งออกมาจากภายในของตัวเขาเองและตราบใดที่มนุษย์ไม่คิดจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเอง ตราบนั้นก็ไม่มีใครที่จะช่วยพวกเขาได้ มนุษย์โลกส่วนน้อยนิดที่แสวงหากฏแห่งจักรวาลอย่างจริงจัง จึงจำเป็นที่จะต้องมาชี้ทางให้แก่เพื่อนร่วมโลกของตน”

หลังจากนั้น มนุษย์ดาวอังคารก็พาอดัมสกี้ขึ้นจานบินและบินไปยังยานอวกาศที่เป็นยานแม่จากดาวเสาร์ ยานอวกาศที่เป็นยานแม่บินไปใกล้ดวงจันทร์และฉายภาพให้อดัมสกี้เห็นสภาพบนดวงจันทร์ ซึ่งมีทั้งอากาศและเฆม ( ข้อมูลตรงจุดนี้เป็นส่วนที่ผมและนักค้นคว้าหลายคนไม่ยอมรับ แต่จุดนี้มีส่วนกลับไปสนับสนุนงานค้นคว้าของ แดเนียล โรส ว่าองการณ์นาซ่าได้เปิดเผยข้อมูลมัวซั่ว และปิดบังข้อมูลที่เท็จจริงเกี่ยวกับดวงจันทร์ รวมทั้งการถ่ายทำภาพยนต์ปลอมที่ นีล อาร์ม สตรองค์ กับเอ็ดวิน อัลดริน และนักบินอวกาศอีกคน สามารถลงไปเหยียบดวงจันทร์ได้ ส่วนตัวผมก็ยังวิเคราะห์แจกแจงไม่ได้เท่าไหรนัก แต่ขอเก็บข้อมูลใส่แฟ้มไว้ละกัน ผมเชื่อว่าเวลาจะพิสูจน์เรื่องต่างๆได้ ) เสร็จจากการดูภาพดวงจันทร์บนจอ มนุษย์ดาวอังคารก็พาอดัมสกี้ไปพบกับมาสเตอร์ประจำยานอวกาศลำนี้ ซึ่งถ้าดูภายนอกจะเป็นบุรุษอายุราวๆ สี่สิบปี รูปร่างทะมัดทะแมง มาสเตอร์ได้บรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลให้อดัมสกี้ฟัง มีใจความหลักๆดังนี้

1.มนุษย์ ไม่ว่าจะเกิด ณ ที่แห่งใดในจักรวาลนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นพี่น้องกันทั้งสี้น เชื้อชาติ สีผิว เป็นเพียงสี่งบังเอิญ สรรพชีวิตในมหาสากลจักรวาลล้วนแล้วแต่อยู่ร่วมกันในทะเลที่เรียกกันว่า”พลังที่เป็นหนึ่ง” ( one power ) และล้วนดำรงอยู่ได้ด้วย”ชีวิตที่เป็นหนึ่ง” ( one life ) สี่งที่โลกของเธอเรียกและตั้งชื่อต่างๆเป็นจำนวนมาก ตามที่สายตาเธอนั้น ไม่ว่าชื่อพืช ชื่อสัตว์หรือชื่อคน ความจริงแล้วเป็นแค่การรับรู้ในเชิงผัสสะของมนุษย์เท่านั้น เพราะในท่ามกลางแห่งจักรวาลอันเป็นทะเลชีวิตที่ไร้ขอบเขต ชื่อต่างๆ ที่พวกเธอเรียกขานนี้ ช่างไร้ความหมายโดยสี้นเชิง แม้แต่ตัว “ปัญญาที่ไร้ขอบเขต” เอง ก็ใช่ว่าจะตั้งชื่อได้ เพราะมันมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวแล้วและรูปแบบของสรรพสี่งชีวิตทั้งหลาย ต่างก็มีชีวิตและจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปใน”ความสมบูรณ์”ของจักรวาลอันนี้ทั้งสี้น

2.ที่กล่าวกันว่า’มนุษย์’เป็นสัตว์ที่มีปัญญาที่แท้จริง แต่เพียงผู้เดียวบนโลกนี้เมื่อเทียบกับรูปแบบของสรรพชีวิตอื่นๆ เป็นคำกล่าวที่ผิด ไม่ว่าในโลกนี้หรือ ณ ที่ใดๆในจักรวาลนี้ ไม่มีสรรพสี่งอันไหนเลยที่จะไม่เป็นตัวแทนของ “ปัญญาแห่งจักรวาล”ในระดับใดระดับนึง ทั้งนี้ เพราะสรรพสี่งทั้งปวงเป็นการสำแดงออกของ”พระผู้สร้างอันศักด์สิทธ์”และเป็นการเผยโฉมของความคิดแห่งปัญญาของพระผู้สร้าง เธอในฐานะที่เป็นคนจึงมิได้สูงส่งไปกว่านั้นและมิได้ต่ำต่อยไปกว่านั้น พลังชีวิตที่ค้ำจุนสรรพสี่งและปัญญาที่สำแดงตัวเองออกมาโดยผ่านสรรพสี่งคือการเผยโฉมอันศักด์สิทธ์ของจักรวาล ชาวโลกส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจความจริงข้อนี้จึงชอบกล่าวร้ายต่อสี่งต่างๆ ที่อยู่นอกอัตตาของตนเอง สรรพสี่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้เป้าหมายหนึ่งๆของตน หาได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพิพากษาสี่งอื่นไม่ สรรพสี่งทั้งปวงล้วนเป็นผู้รับใช้สี่งสูงสุด ไม่มีใครหรอกที่สามารถรับรู้ทั้งหมดได้ แต่ถ้าคนผู้นั้นยินดีและเต็มใจที่จะรับใช้แล้ว ความเข้าใจของเขาที่มีต่อต้นตอแห่งสายธารของปัญญาก็จะพอกพูนเพี่มขึ้นเอง ปัญญาคือสี่งเดียวกับพลังชีวิตที่ทำให้สรรพสี่งดำรงอยู่ได้

3.สรรพสี่งและปรากฏการณ์ทั้งหลายในมหาสากลจักรวาลนี้ เปรียบเหมือนดอกไม้ที่สวยงามในสวนดอกไม้อันโอฬารที่ดอกไม้แต่ละประเภทแต่ละสีต่างผลิดอกเบ่งบาน ประสานกลมกลืนกัน ดอกไม้ทุกดอกต่างรู้สึกถึงตัวเองได้โดยผ่านการตระหนักถึงดอกไม้ดอกอื่น ดอกไม้ต้นเล็กเงยหน้าแหงนดูดอกไม้ต้นใหญ่ ฝ่ายดอกไม้ต้นใหญ่ก็ก้มลงดูดอกไม้ต้นเล็ก สีแต่ละสีที่หลากหลายของเหล่าดอกไม้คือความปิติยินดีแต่ละอันสำหรับสวนทั้งหมด สรรพสี่งได้รับเกียรติในการรับใช้สี่งอื่น ในขณะเดียวกันแต่ละสี่งก็ได้รับการบริการจากสี่งอื่นทั้งหมดเช่นกัน มนุษยชาติน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนอันนี้ตั้งแต่เรี่มแรกของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่มนุษย์กลับล้มเหลวในการเรียนรู้บทเรียนอันนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะมนุษย์ไม่รู้ ขาดความเข้าใจ มนุษย์จึงทำลายความปรองดองของสรรพสี่งในโลกนี้ มนุษย์ไม่รู้จักสันติภาพที่แท้จริงและไม่รู้จักความงดงามที่แท้จริง ต่อให้มนุษย์
ประสบความสำเร็จในทางวัตถุขนาดไหน มนุษย์ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความมืดไปได้ มนุษย์กลายเป็นตัวแทนของความกลัว และความกลัวนี่เองที่กักขังจองจำมนุษย์ไว้ตลอดชีวิต มนุษย์จึงปิดกั้นตัวเองจากแสงสว่างที่จะนำพาตัวเองไปสู่วิถีแห่ง”ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวอันนิรันดร์”

4.เพื่อนรัก เธอจะต้องไม่สี้นหวังหรือท้อแท้เมื่อเผชิญกับการถูกหัวเราะเยาะเมื่อไม่เชื่อถือ เธอจงนำสี่งที่ได้เรียนรู้ไปถ่ายทอดให้พี่น้องร่วมโลกของเธอได้รับรู้ เพราะคนใจกว้างพร้อมจะรับฟังความจริงก็มีอยู่อีกมาก
ช่วงต้นเดือนกันยายน ปีค.ศ.1953 อดัมสกี้ได้รับโทรจิตจากผู้ที่อ้างว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกครั้ง ให้ไปพบกันที่เดิม คือ เมืองลอสแองเจลิส คราวนี้เค้าได้พบกับมนุษย์ดาวอังคารและมนุษย์ดาวเสาร์ อดัมสกี้ได้ซักถามข้อสงสัยของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ UFO ก่อนหน้านั้น ซึ่งเขาก็ได้รับคำตอบและคำชี้แจงจนกระจ่าง นอกจากนี้มนุษย์ต่างดาวยังได้เล่าประวัติของโลกใบนี้นับตั้งแต่อดีตกาลอันใกล้โพ้นด้วย

“พวกคุณได้แลเห็นความล้าหลังในวิวัฒนาการของพวกมนุษย์มานับเป็นหมื่นๆปีแล้ว พวกคุณไม่รู้สึกผิดหวังหรือครับที่ทั้งๆพยายามช่วยเหลือพวกมนุษย์ให้เห็นทางสว่างกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในความมืดไม่รู้จักเติบโตทางวิญญาณเสียที”อดัมสกี้ถาม

มนุษย์ดาวอังคารได้ตอบกลับมาว่า ” พวกเราไม่รู้จักสี่งที่พวกคุณเรียกว่าความผิดหวังหรอกครับ คำๆนี้ไม่มีอยู่ในภาษาของเราตั้งแต่อดีตกาลอันยาวไกลมาแล้วที่พวกเราได้เรียนรู้ถึงพลังแห่งความหวัง พลังแห่งศรัทธาและพลังที่จะไม่ท้อแท้ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเราก็ตาม เป้าหมายของชีวิตที่สูญเสียไปเมื่อวันวานเป็นสี่งที่เราจะสามารถเอาคืนมาได้ในวันพรุ่งนี้ พวกเราไม่คิดว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐเลิศสุดแล้วหรอกครับ พวกเราตระหนักดีว่าตัวเองจะต้องวิวัฒนารุดหน้าต่อไปจนชั่วนิรันดร์ คุณคงทราบแล้วว่าในโลกของพวกเราไม่มีโรคภัย ไข้เจ็บ ความยากจนและอาชญากรรม พวกเราถือว่ามนุษย์คือการสำแดงออกขั้นสูงสุดขององค์พระผู้สร้าง ถ้าหากพวกเราคิดร้ายต่อคนอื่นด้วยจิตใจที่เป็นอกุศลเมื่อใด พวกเราก็จะเบี่ยงเบนจากความสมบูรณ์แล้วห่างไกลจากเป้าหมายที่แท้จริงของพระผู้สร้างทันที นี่คือสี่งที่พวกเราตระหนักเป็นอย่างดีครับ”

“ผมอยากจะถามพวกคุณเกี่ยวกับปัญหาการตายแล้วเกิดใหม่จะได้ไหมครับ คือผมอยากจะรู้ว่าความทรงจำตลอดชั่วชีวิตนี้ของเราสามารถนำติดตัวไปยังชีวิตหน้าได้ไหมครับ?”

มนุษย์ดาวเสาร์เป็นผู้ตอบกลับมาว่า ”เป็นไปได้ครับ โดยขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนาจิตสำนึกของบุคคลผู้นั้นครับ มนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดจนชั่วนิรันดร์ย่อมไม่ลืมสี่งต่างๆที่เขาประสบมาได้หรอกครับ เพียงแต่ความทรงจำเกี่ยวกับสี่งต่างๆที่ร่ำเรียนมาในชาติก่อนมักไม่ค่อยปรากฏออกมาในชาตินี้เกินกว่าความรู้ระดับสัญชาติญาณเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของจิตสำนึกของตัวเอง อย่างเด็กที่มนุษย์โลกเรียกว่า อัจฉริยะนั้น ความจริงแล้วก็เป็นคุณสมบัติแห่งความทรงจำในอดีตชาติที่ปรากฏออกมาเด่นชัดกว่าคนธรรมดาเท่านั้นเองครับ
โลกใบนี้เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้กระแสคลื่น ( Vibration ) ที่ต่ำ เพราะฉะนั้นพัฒนาการของสี่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้รวมทั้งมนุษย์จึงช้าและกินเวลานาน มนุษย์เมื่อตอนอยู่ในวัยเด็กก็มักจะถูกประเพณีและความเคยชินของโลกมนุษย์ผูกมัดจนทำให้ความทรงจำในอดีตถูกปิดกั้นให้ไปอยู่ด้านในสุดของจิตไร้สำนึก อย่างดวงดาวที่พวกเราอาศัยอยู่มีกระแสคลื่นสูงกว่าของโลก จึงทำให้พัฒนาการของเด็กที่เกิดมาในดวงดาวของพวกเราเร็วกว่าของโลกมาก ยกตัวอย่างเช่นถ้าชาวโลกต้องใช้เวลาถึง 18 ปีกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ ในดวงดาวของพวกเราจะใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ในทางกลับกันแม้ชาวโลกจะกินเวลานานกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้แต่กลับแก่เร็วมาก
คุณคงจะเห็นได้ว่าพวกเราแก่ช้าและดูไม่ค่อยอก่ในทางรูปโฉมภายนอก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเราเรียนรู้วิธีที่จะนำเอาผลพวงที่ได้จากบทเรียนแต่ละครั้งนำมาใช้ใหม่ให้เป็นประโยชน์ในแต่ละวันนั่นเอง สี่งที่พวกเราตระหนักว่าไร้ประโยชน์ไร้สาระพวกเราที้งมันไปทันทีโดยไม่ลังเล พวกเราจึงหนุ่มแน่นอยู่เสมอเพราะพวกเราพยายามสำแดงถึงความใหม่ ความสดใสให้แก่ตัวเราเป็นประจำ ช่างปั้นหม้อมือหนึ่งเวลาเขาใช้สองมือจับดินเหนียวในสมองเขาได้มีจินตนภาพของหม้อที่ปั้นเสร็จสมบูรณ์แล้วเกิดขึ้นก่อนฉันใด ร่างกายของมนุษย์ก็ควรเป็นฉันนั้น เพราะมนุษย์แต่ละคนคือช่างปั้นหม้อที่ปั้นตัวของเขาขึ้นมาเอง โดยได้รับวัตถุดิบจากองค์พระผู้สร้าง สี่งที่จะทำให้ร่างกายของตนดีขึ้นหรือเลวลง สวยงามขึ้นหรืออัปลักษณ์ลง ก็ขึ้นอยู่กับวิธีคิดเกี่ยวกับร่างกายตนเองของมนุษย์ผู้นั้น ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในจักรวาล
พวกชาวโลกมักชอบจินตนาการว่าเทพเจ้าอันเป็นนิรันดร์คือผู้ที่มีหน้าตาแก่เฒ่าแล้ว คุณไม่คิดว่าสี่งนี้เป็นเรื่องที่ขัดแย้งในตัวเองหรือครับ เพราะถ้าสี่งนั้นเป็นนิรันดร์แล้วมันจะต้องไม่มีอายุไม่ใช่หรือครับ อย่างทะเลลึกหรือผิวทะเลถ้ามันจะเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนี่งได้ ตัวทะเลก็ต้องมีชีวิตต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ส่วนบ่อน้ำที่ภายในของมันไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไปแล้ว แม้ตอนแรกน้ำในบ่อยังสะอาดบริสุทธ์ มันจะถูกสารแปลกปลอมจากภายนอกจำนวนมากมาทำให้ขุ่นจนได้ โรคภัยไข้เจ็บและความเสื่อมในร่างกายของคนเราก็เป็นเช่นเดียวกันครับ ถ้าชาวโลกไม่รู้จักวิธีที่จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างสอดคล้องกับกฏของธรรมชาติแล้ว ตัวเขาก็ย่อมเผชิญกับภาวะขุ่นเน่าเสียอย่างแน่นอน สุขภาพร่างกายของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับสภาวจิตเป็นอย่างมาก แต่มนุษย์ส่วนใหญ่กลับไม่รู้วิธีใช้จิตมาควบคุมร่างกาย มัวไปนึกว่าเรื่องเจ็บไข้แก่ชราเป็นยถากรรมที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ต้องพึ่งยามารักษา หารู้ไม่ว่า วิธีคิดที่เป็นกระแสคลื่นขั้นต่ำเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้มนุษย์มีอายุสั้นกว่าที่ควร”

หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว พวกมนุษย์ต่างดาวก็พาอดัมสกี้ไปขึ้นยานบินและบินไปยานอวกาศลำแม่ของดาวเสาร์ ที่นั่นเขาได้พบกับมาสเตอร์อีกครั้ง มาสเตอร์ได้บอกอดัมสกี้ว่า

“มนุษย์โลกมีความเคยชินที่ชอบแบ่งแยกในสี่งที่ไม่บังควรแบ่งแยกโดยเด็ดขาด นี่คือความผิดพลาดอันใหญ่ของชาวโลก ขณะที่มนุษย์ต่างดาวอย่างพวกเขาไม่แบ่งแยกสี่งใดและยอมรับความสัมพันธ์ที่พึ่งพาต่อกันและกันของสรรพสี่ง พวกเขาไม่เศร้าโศกเสียใจต่อปรากฏการณ์ที่เรียกว่า”ความตาย”เพราะว่าสำหรับพวกเขาแล้ว ความตายก็เหมือนการย้ายที่อยู่ใหม่ของจิตวิญญาณนั่นเอง มนุษย์ดาวศุกร์แม้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวโลกก็จริงแต่ที่ต่างกับชาวโลกเป็นอย่างมากเลยก็ตรงที่พวกเขารู้จักตนเองอย่างแท้จริง พวกเขาจึงไม่รู้จักความน่าเบื่อ เพราะแต่ละช่วงขณะที่ผ่านไปของพวกเขานั้นคือ ความปิติที่ได้รับใช้สรรพสี่งอย่างเท่าเทียมกันนั่นเอง
หลังจากนั้น อดัมสกี้ยังได้รับโทรจิตของมนุษย์ต่างดาวเป็นระยะๆไป จนครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 23 เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1954 ครั้งนี้มนุษย์ดาวเสาร์ได้มาอำลา และบอกว่าจะกลับดาวศุกร์ในไม่ช้านี่แล้ว คราวนี้อดัมสกี้ถูกพาขึ้นจานบินและบินไปยังยานอวกาศลำแม่ของดาวศุกร์ มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า
“คนดาวศุกร์ไม่เพียงใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับกฏของจักรวาลเท่านั้น บรรยากาศเหนือดาวศุกร์ยังมีส่วนให้มนุษย์ที่นั่นมีอายุเฉลี่ยถึงหนึ่งพันปีด้วย ในสมัยก่อนที่โลกของคุณยังเคยมีบรรยากาศที่เมฆปกคลุมตลอดแบบดาวศุกร์ อายุเฉลี่ยของมนุษย์โลกในสมัยนั้นก็ยาวนานกว่าสมัยนี้มาก เพราะถ้าไม่มีเมฆปกคลุมบรรยากาศเอาไว้ รังสีต่างๆจะเข้ามาในบรรยากาศและมีผลต่อร่างกายมนุษย์ ถ้าคุณลองกลับไปอ่านคัมภีร์ไบเบิลดูให้ดีจะพบข้อความบางตอนที่บอกว่ามนุษย์เรี่มมีอายุเฉลี่ยสั้นลงภายหลังจากที่สามารถเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้ และถ้าหากคุณได้รู้ข้อเท็จจริง เหมือนกับพวกเราว่าโลกใบนี้กำลังจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Pole shift หรือแกนของขั้วโลกเอียง ซึ่งเราก็ยังไม่รู้เวลาที่จะเกิดสี่งนี้ชัดเจนนักว่าจะเกิดเมื่อไหร่แน่ เพียงแต่รู้ว่ามันพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งถ้าหากโลกใบนี้ครบรอบของมันจนเกิดการเอียงของแกนขั้วโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว พื้นแผ่นดินใต้สมุทรก็คงโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแผ่นดินที่อมน้ำมานานคงจะถูกความร้อนเผาผลาญให้น้ำระเหยกลายเป็นไอเป็นเมฆขึ้นปกคลุมท้องฟ้าอีก เมื่อถึงตอนนั้นแหละ อายุเฉลี่ยของมนุษย์ก็ยืนยาวเป็นร้อยปีได้อีก การมาสำรวจภาวะการเอียงของแกนขั้วโลกของโลกใบนี้จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเราต้องจับตามองโลกใบนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะการเอียงของแกนขั้วโลกของโลกใบนี้จะส่งผลกระทบต่อดวงดาวอื่นในระบบทางช้างเผือกและมีผลต่อเส้นทางการเดินเรือของยานอวกาศของเราด้วย”

“ภาวะแกนขั้วโลกเอียงอย่างฉับพลันหรือ Pole Shift จะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่กับใบโลกนี้มั้ยครับ”

“มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน กฏต่างๆที่ปกครองมนุษย์และดวงดาวที่มนุษย์อาศัยอยู่นั้น ชาวโลกในปัจจุบันยังไม่เข้าใจมันดี พวกเราอยากจะเน้นว่าแนวทางที่ผิดพลาดที่พวกชาวโลกเดินมาโดยตลอดนี้แหละคือสาเหตุแห่งความปั่นป่วนของโลกในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีสัญญาณเตือนออกมาให้เห็นตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาแล้ว พวกชาวโลกก็ยังไม่ใส่ใจอยู่ดี หลายสี่งถูกบันทึกไว้ในรูปแบบของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ต่างๆมิหนำซ้ำ คำพยากรณ์หลายอย่างได้ปรากฏเป็นจริงแล้วครับ แต่ชาวโลกก็ยังไม่ยอมรับเรียนรู้บทเรียนอันนี้เสียที

ถ้าหากชาวโลกคิดจะมีชีวิตรอดโดยไม่ก่อให้เกิดความหายนะครั้งใหญ่แล้ว พวกเขาจำเป็นจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ ให้เห็นคนอื่นเป็นตัวเอง เห็นคนอื่นเป็นสะท้อนของตัวเองให้จงได้ เพราะความโหดร้ายก็ดี การฆ่าคนอย่างไม่แคร์ก็ดี หาใช่เจตนาของพระผู้สร้างไม่”

“ผมพอจะทราบอยู่เหมือนกันครับว่าโลกใบนี้กำลังจะเข้าสู่รอบใหม่ ซึ่งบางคนก็บอกว่าจะเป็นยุคทอง บ้างก็ว่าน้ำจะท่วมโลก ไม่ทราบว่าพวกคุณมีความคิดเห็นอย่างไรครับ?”

“ที่ดาวของพวกเราไม่เรียกชื่อการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหรอก พวกเราตระหนักดีว่าทุกสี่งเป็นความก้าวหน้า แต่ถ้าจะให้เราตอบคำถามนี้เพื่อเสริมความเข้าใจคุณ เราก็คงจะตอบว่า ชาวโลกกำลังเข้าสู้ยุคจักรวาลในไม่ช้านี้ ซึ่งในยุคจักรวาลนี้แหละที่ชาวโลกจะได้ค้นพบว่าพระเจ้าของพวกเขานั้น หาได้ดำรงอยู่ในที่ไกลโพ้นไม่ หากแต่ดำรงอยู่ในสรรพสี่งรอบๆตัวเขา และดำรงอยู่ภายในตัวของพวกเขาเองด้วย ( ข้อนี้สนับสนุนข้อมูลของจิตจักรวาลที่ว่า ให้มนุษย์ค้นหาพระเจ้าในตัวเองให้เจอ )
ยานบิน UFO ของพวกเราได้ออกมาปรากฏตัวบนท้องฟ้าของโลกและสำแดงเทคนิคการบินที่ไม่มีเครื่องบินของชาวโลกไม่ว่าประเทศไหนสามารถทำได้ เรื่องนี้ พวกนักวิทยาศาสตร์ของชาวโลกรู้ดีและรัฐบาลต่างๆก็รู้ดี มีนักบินหลายคนที่เคยเจอจานบินของพวกเรา และต่อไปก็คงมีชาวโลกอีกเป็นจำนวนมากที่เห็นยานบินของพวกเราอีก ความจริงเรื่องเหล่านี้ได้ถูกพยากรณ์เอาไว้แล้ว โดยคนยุคก่อน ในคัมภีร์พยากรณ์คนสมัยก่อนนั้นแทบกล่าวไว้เหมือนกันหมด ว่าโลกทั้งโลกจะตกอยู่ในความระส่ำระส่าย เมื่อมีสัญญาณต่อไปนี้ออกมาปรากฏก่อน นั่นคือเมื่อเหล่ากุลบุตรของเทพเจ้าลงมาจากฟ้าเพื่อมาช่วยโลก สภาพของโลกในปัจจุบันขณะนี้มิใช่ใกล้เข้าสู่ความหายนะไปทุกทีแล้วเหรอ แล้วใครเป็นผู้ก่อล่ะ ? ก็ตัวมนุษย์เองไง พวกมนุษย์เรียกบรรยากาศนอกโลกว่าฟ้า และพวกเราไม่ใช่กุลบุตรกุลธิดาของพระเจ้าหรอกเหรอ คุณไม่คิดรึว่าคำพยากรณ์ของคนยุคก่อนกำลังปรากฏเป็นจริง”

หลังการติดต่อ จอร์จ อดัมสกี้ได้เขียนหนังสือหลายเล่มที่บันทึกข้อมูลเรื่องเหล่านี้ไว้ เช่น หนังสือเรื่อง จานบินได้ลงจอดแล้ว ( UFO Hare Landed ) และ หนังสือเรื่อง เหตุการณ์ภายในจานบิน ( Inside Flying Saucers ) หนังสือเหล่านี้ถูกผู้คนที่อ่านโจมตีมาก ภาพถ่ายจานบินของอดัมสกี้ก็มีผู้ที่เผยแพร่ออกมาเอง และกล่าวหาว่าเป็นของปลอม

จากการที่เรามาตรวจสอบเองในเหตุการณ์ต่างๆ ผมได้รวบรวมมาทั้งหมดเลย พบว่า ประวัติของอดัมสกี้ เกิดที่โปแลนด์ ปีค.ศ.1891 ก่อนที่เขาจะได้รับโทรจิตติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวก็ได้พบเห็นจานบินหลายครั้ง ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ.1946 อดัมสกี้ได้พบเห็นยานลึกลับ ที่เมืองซานดิเอโก้พร้อมกับเพื่อน และในเดือนสิงหาคม ปีค.ศ.1947 อดัมสกี้ก็ได้พบเห็นจานบินอีกครั้งพร้อมสาธารณะชน และวันที่ 1 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1953 อดัมสกี้ก็ได้พบเห็นจานบินรูปซิการ์และได้ถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย

ที่นี้ผมขอเพี่มเติมข้อมูลในเหตุการณ์แรกอีกครั้ง ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1952 ที่อดัมสกี้ได้พบมนุษย์ต่างดาวครั้งแรกที่แคลิฟอร์เนีย พยานทั้ง 6 คน ที่ตามอดัมสกี้ไป ได้แก่


1.จอร์จ วิลเลียมสัน
2.เบตตี้ วิลเลียมสัน
3.อัล เบลี่
4.เบตตี้ เบลี่
5.อะลิส เวลล์
6.ลูซี่ แมกกินนิส


โดยในวันเกิดเหตุ พยานทั้ง 6 คน นั่งดูอยู่ในรถ ส่วนอดัมสกี้ลงจากรถไปผู้เดียว ปรากฏว่ามีจานบินลำเล็กลงมาจอด อดัมสกี้ได้ถ่ายรูปไว้ 7 รูป จากข้อมูลตอนแรกๆ อดัมสกี้ได้ถามข้อมูลจากมนุษย์ต่างดาวมากมาย มนุษย์ต่างดาวตนนี้ชื่อ ออธอน

และหลังจากนั้น วันที่ 13 ธันวาคม ปีค.ศ.1952 อดัมสกี้ได้นัดให้ออธอนนำจานบินมาปรากฏให้เห็น วันนั้นอดัมสกี้ถ่ายภาพจานบินได้ 3 ภาพ
วันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1952 ฟีนิกซ์ กาเซทท์ ได้ตีพิมพ์เรื่องราวของอดัมสกี้ ทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้น หลังจากข่าวเรื่องที่อดัมสกี้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แพร่ออกไป มีผู้คนมากมายก็อ้างว่าติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้เช่นกัน และจากข้อมูลหนังสือเรื่อง ( Flying Saucers Have Landed ) ที่อดัมสกี้เป็นผู้เขียน ได้เขียนไว้ว่า จากการแบ่งระดับในจักรวาล ดาวโลกเป็นนักเรียนชั้นอนุบาลเท่านั้น ยังมีเรื่องราวมากมายที่เรายังไม่รู้ในจักรวาลนี้ และข้อมูลที่ว่ามนุษย์ต่างดาวทั่วจักรวาลใช้ภาษาโทรจิตติดต่อกัน
ในช่วงที่อดัมสกี้ใกล้เสียชีวิต ( เขาตายในปีค.ศ.1965 ) มีบุคคลหลายคนกล่าวโจมตีอดัมสกี้ต่างๆนานา เช่นนักดาราศาสตร์ชื่อ โดนัลย์ เมนเซล บอกว่ารูปจานบินของอดัมสกี้อาจจะเป็นภาพปลอม นอกจากนี้นักหนังสือพิมพ์ เช่น ปารีส์ ฟลามองค์,เรย์ ปาล์เมอร์ เขียนกล่าวโจมตีอดัมสกี้ว่าเป็นพวกหลอกหลวง และ แฟรง เอดเวริด์ นำข้อมูลมาบอกว่า อดัมสกี้เอาพื้นฐานนิยายเรื่องนึงมาโม้เท่านั้น

เจมส์ ดับบลิว โมสลี่ เขียนหนังสือเรื่อง ข่าวจานบิน (Saucers News) ว่า เรื่องราวของอดัมสกี้ล้วนเป็นเหตุเหลวไหลทั้งสี้น ส่วนพยานของอดัมสกี้ก็ต่างเป็นพวกงี่เง่าที่ยอมเชื่อฟังอดัมสกี้ทุกอย่าง นักบินของกองทัพสหรัฐอเมริกา ชื่อ เจอรัลด์ เบเคอร์ กล่าวว่า เขาเคยได้ยินว่าอดัมสกี้และพวกกุเรื่องหลอกหลวงโลก
เรื่องราวของอดัมสกี้จึงถูกมองในแง่ลบ จึงมีการวิเคราะห์ภาพถ่าย และสอบสวนมากมาย

ที่นี้เรามาดูหลักฐานที่อดัมสกี้กล่าวไว้ และมีมูลความจริง

อดัมสกี้บอกในหนังสือเรื่องจานบินที่เขาเขียนเองว่า เขาได้พบเครื่องมือประหลาดตอนที่อยู่ในจานบิน รวมทั้งเห็นแสงไฟประหลาดที่มนุษย์ต่างดาวใช้ฉายภาพต่างๆให้เขาดูที่จอภาพ อดัมสกี้ได้บอกไว้ในหนังสือของเขาว่า “เขามีเครื่องฉายภาพที่แปลกดี จะหยุดแสงในบริเวณใดก็ได้ตามที่เราต้องการ จุดที่แสงหยุดนั้นเอง สามารถใช้เป็นจอได้ ภายในตัวโดยที่มองไม่เห็นจอ รูปภาพที่ฉายเน้นสีและมิติมาก”สี่งที่อดัมสกี้ได้อธิบายออกมา ตอนนั้นคนยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในภายหลัง 9 ปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์พึ่งมาคิดสี่งที่เรียกว่า Laser Hologram ปรากฏว่าเหมือนกับสี่งที่อดัมสกี้อธิบายทุกประการ (นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ได้เมื่อ ค.ศ.1963 แต่อดัมสกี้บอกไว้เมื่อปีค.ศ.1954) และอดัมสกี้บอกอีกว่า ตอนที่อยู่ในจานบินแล้วมองทะลุออกมาเห็นอวกาศนั้น เขาเห็นแสงประหลาดเหมือนหี้งห้อยลอยไปมา ต่อมานักบินอวกาศสหรัฐฯที่ออกไปนอกโลกได้ ก็รายงานว่าเห็นแสงประหลาดเหมือนหิ้งห้อย.

นักธรณีวิทยา ในรัฐยูท่าห์ ประเทศสหรัฐฯ ได้เห็นจานบินรูปร่างเหมือนของอดัมสกี้ จึงคิดว่าถ้าอดัมสกี้ถ่ายปลอมมาน่าจะจำลองของจริงได้เหมือนมาก แต่มีนักจานบินวิทยาหลายท่านที่คอยตรวจสอบข้อมูลบอกว่า มนุษย์ต่างดาวอาจจะโกหกข้อมูลบางส่วน เพื่อให้คนที่รับข้อมูลเชื่อและเหตุผลอีกหลายประการ.

วันที่ 6 ตุลาคม ปีค.ศ.1953 สมาชิกของดาราศาสตร์แห่งนอวิช (British Norwich Astronomical Society) พบเห็นจานบินแบบเดียวกับที่อดัมสกี้เห็น และเมื่อวันที่ 15 เดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ.1954 ยังมีเด็กสองคนในอังกฤษสามารถถ่ายถาพจานบินที่เหมือนอดัมสกี้ได้มาก
ย้อนกลับเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ.979 มีคนพบจานบินรูปซิการ์แบบเดียวที่อดัมสกี้เห็นเช่นกัน รวมรายงานการพบเห็นจานบินรูปร่างแบบนี้ 100 ครั้งแล้ว จากข้อมูลของผู้ที่พบเห็นบอกว่า รู้สึกมีอาการทางประสาท จึงสันนิษฐานกันว่าเป็นการที่มนุษย์ต่างดาวต้องการใช้โทรจิตติดต่อด้วย แต่จูนกันไม่เข้า

จากเรื่องราวทั้งหมด ของอดัมสกี้ จอร์จ ถูกเข้าแฟ้มชนิดปิดตายไปแล้ว ในข่าวสุดท้าย นักค้นคว้าลงความเห็นว่า เป็นเรื่องโกหกที่หลอกหลวงชาวโลกได้แค่ระยะเดียว

แต่ในปัจจุบัน ผู้ที่อ้างว่าติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ยังมีอยู่อีกมาก เรายังสามารถวิเคราะห์และเก็บข้อมูลจากคนเหล่านี้ได้อีกเยอะครับ.
 

Black magic wicca


2009-01-31 00:35:11 203.147.0.**
stat : 0 posts , 0 replys
 

คำตอบ
 
ข้อความ
รูปแบบพิเศษ ย่อหน้า ตัวหนา ตัวยก ตัวห้อย ตัวหนังสือเรืองแสง ตัวหนังสือมีเงา ตัวเอียง เส้นใต้ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีส้ม สีชมพู สีเทา แทรกรูปจาก internet แทรกไฟล์ youtub vdo
Emotions
ชื่อ
email
ซ่อน E-Mail
.
สมัครสมาชิก Click ที่นี่ | เข้าสู่ระบบ Click ที่นี่




User :
Pass :
ลืมรหัสผ่าน

 
 
© Copyright 2007 SIAM-SHOP.COM All Rights Reserved.