ดอกบัวจากหัวใจ
...ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บ่ายวัีนที่ 13 พฤศจิกายน 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่ กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศวันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯ
|
|
โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฏรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูกจูงหลานหอบกันมารับ เสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแ่น่นดังเช่นครอบครัวจันทนิตย์ ที่ลูกหลานช่วยกันนำ แ่ม่เฒ่าตุ้ม จัีนทนิตย์ วัย 102 ปี (ปีเกิดคือ2396) ไปรอรัีบเสด็จ ณ จุดรับเสด็จ ห่างจากบ้่าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิด เบื้องพระยุคคลบาทที่สุดเปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่าวสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักต์แนบชิดกับศรีษะของแม่เฒ่าทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชาวอีสานอย่างอ่อนโยน เป็นคำบรรยายที่เหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแ่ม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแ่ม่เฒ่าไม่มีวันลืม เช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฏรคนสำคัญที่ทรงพ บริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลัีบกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวัง ได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก พระมหากรุณาธิคุณอัีนหาที่สุดไม่ได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูให้ชีวิตแม่เฒ่ายืนยาวขี้่นอีกด้วย ความสุขต่อมาอีกถึงสามปีเต็มๆ แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฏรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี ข้อมูลจาก "แม่เฒ่าตุ้ม จัีนทนิตย ์ภาคพิเศษ "โดยคุณหญิงทวีนาค สุริยะ วารสารไทย ปีทีี่ 21 ฉบับที่ 74 เมษายน- มิถุนายน 2549 |
ทรงเป็นแบบอย่าง
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคล ที่มาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ 11 สิงหาคม 2534 เกี่ยวกับการตามเสด็จในตอนต้นรัชกาล ซึ่งครั้งนั้นยังทรงเยาว์ พระชันษาว่า ทรงยังไม่แน่พระทัยว่าจะวางพระองค์อย่างไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรง ปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง ดังเช่น "...เวลามีพระราชปฏิสันถารกับราษฏร ซึ่งเป็นชั่วโมงๆ ทีเดียว ทรงคุยกับราษฏรนี่ไม่โปรดทรงยืน ทรงถือขนบธรรมเนียมไทยที่จะไม่ยืนค้ำผู้เฒ่าผู้แก่ จะประทับลงรับสั่งกับราษฏรเสมอมา แม้จะเป็นตอนเที่ยงแดดร้อนเปรี้ยงก็ตาม ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นพระราชจริยวัตรนี้มาตั้งแต่ตอน ต้นรัชกาลแล้ว..."
|
เขาเดินมาเป็นวันๆ
"...มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าอายุสิบแปดได้ตามเสด็จ...ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จฯ เยี่ยมราษฏรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ๆ ก็เสด็จฯประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฏรมาเรื่อยๆ ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหม นานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึก แดดร้อนเปรี้ยง หนังเท้านี่รู้สึกไหม้เชียว ...ก็เดินเข้าไปกระซิบกับท่านว่าพอหรือยัง ก็โดนกริ้ว ...บอกนี่เห็นไหมราษฏรเขาเดินมาเป็นวันๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว..." พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 11สิงหาคม พ.ศ.2534 |
กำเนิดฝนหลวง
เมื่อทรงสัมผัสความทุกข์ซับซ้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากเรื่องของ "น้ำ" อันเป็น ปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้บัดนั้นมีพระชนมพรรษาเพียง 28 พรรษา และเพิ่งเสด็จพระราชดำเนินอีสานครั้งแรกในพระชนมชีพ ก็ทรงเฝ้าครุ่นคิดถึง แต่วิธีที่จะแก้ไขปัญหาให้ชาวอีสาน ปัญหาที่ขัดแย้งกันเอง เมื่อมีน้ำ น้ำก็มากไป ท่วมป่าจากภูเขาไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งไว้ได้ แต่เมื่อน้ำหมดก็แห้งแล้งอย่างที่สุด เพราะไม่มีฝนตกลงมา ทรงบันทึกไว้ว่า "ต้องสร้างเขื่อนเล็กๆ (Check dams) จำนวนมาก ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาต่างๆ จะช่วยให้กระแสน้ำค่อยไหลอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเล็กๆ สิ่งนี้จะแก้ไขปัญหาแห้งแล้งได้ ในฤดูฝนน้ำจะถูกเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำและจัดสรรน้ำให้ในฤดูแล้ง" ส่วนปัญหาเรื่องฝนแล้งนั้น "ข้าพเจ้าได้แหงนดูห้องพัก และพบว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่านพื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาในท้องถิ่นนั้น ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการทำฝนเทียม |
ฝนหยาดแรก
อีก 17 ปีต่อมา "ฝนเทียม" ตามพระราชดำริในวันเสด็จฯ เยี่ยมอีสาน ก็กลายเป็น "ฝนหลวง" ที่หยาดลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำทั้งแผ่นดินครั้งแรก ในวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2515วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวางแผนสาธิตการทำฝนด้วยพระองค์เอง จนเกิด "ฝนหลวง" ตกลงมาเป็นผลสำเร็จ และตกลงสู่เป้าหมายอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี อย่างแม่นยำล่วงจนถึงปี 2548 ปีที่ 59 แห่งรัชกาล ประเทศไทยก็ยังเผชิญภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเจริญพระชนมายุ 78 พรรษาก็ยังทรง"คุมงาน"เพื่อทรงบัญชาการเครื่องบิน ทำฝนเทียมทั่วประเทศด้วยพระองค์เองทรงต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ราษฏรได้มี "น้ำ"เพราะ "การมีน้ำ " นั้นหมายความถึง"การมีชีวิต" |
ต่อไปจะมีน้ำ
บทความ "น้ำทิพย์ลาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา" เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่5 ธันวาคม 2528 ได้เ่ล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ ถึงเรื่องอัศจรรย์ของ "ในหลวง" กับ "น้ำ" ที่เกิดขึ้นในค่ำวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2528 ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก หญิงชราคนหนึ่งที่มาเฝ้าฯรับเสด็จ ได้คลานเ้ข้ามากอดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า "ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้" แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอดห่างออกไปราว 5 เมตร ปรากฏว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรก ในรอบปี ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฏรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตามๆกัน
|
แต่ละปีที่เสด็จ
ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯทรงรับฟังความทุกข์ราษฎร จากปากคำของราษฏร ยังบ้านของราษฎรเอง และทรงงานเพื่อราษฎรโดยไ่ม่มีวันหยุดมาแล้ว เป็นเวลาหกสิบปีครั้งหนึ่งสำนักราชเลขาธิการได้เคยบันทึกไว้ว่าในแต่ละปีเสด็จฯ ออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ราว 500-600 ครั้งรวมเป็นระยะทางประมาณ 25,000 ถึง 30,000 กิโลเมตร ข้อมูลจาก "พระธรรมิกราชของชาวไทย " จัดพิมพ์โดย กรมศิลปากร พ.ศ.2530 |
จดหมายทุกฉบับ
"...จดหมายประชาชนส่งถึงในหลวงถึงมือท่านทุกฉบับหรือไม่? รองราชเลขาธิการกล่าวว่า ส่วนใหญ่ถึงมือทุกฉบับ แต่ถ้าไม่เหมาะสมก็ไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ขอยืนยันเรื่องนี้ คุณแม่เขียนจดหมายถึงท่านมา 10 ปีแล้วค่ะ ปีที่แล้วมีจดหมายจาก สำนักพระราชวังส่งมาให้ใจความว่า...จดหมายที่แม่เขียนถึงในหลวง ท่านทรงอ่านทุกฉบับคุ่ะ แม่ร้องให้ตื้นตันใจมากๆ เลย...
คนไทยคนหนึ่ง
|
เยลลี่สี่กล่อง
วันที่ 28 ธันวาคม 2544 ขณะที่นักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เพชรบุรี ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่มี ฐานะยากจน ด้อยโอกาสทางการศึกษาและมีปัญหาชีวิตครอบครัว กำลังฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันอยู่นั้น ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวังนำขนมเยลลี่จำนวน 4 กล่องมามอบให้ผู้อำนวยการ โรงเรียน โดยผู้นำมาให้แจ้งว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเยลลี่ให้กับเด็กนักเรียนได้ประทานเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่" ยังความปลาบปลื้มอย่างทีีสุดให้กับครูและนักเรียนตัวน้อยๆของโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ เพชรบุรีอย่างหาที่สุดมิได้ ซึีงจนถึงวันนี้ก็คงจะยังไม่มีลืมรสชาติของ "เยลลี่พระราชทาน"ที่หวานอร่อยด้วย พระเมตตาในวันนั้นเลย
ข้อมูลจาก มติชน ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2544 |
เชียร์ร่วมคุณทองแดง
อีกสี่ปีต่อม่ วันที่ 9 กันยายน 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะนักกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 28 ทั้ง 8 คนรวมทั้งญาติพี่น้องเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด ณ พระราชวังไกลกังวล นายสันติภาพ เตชะวณิช ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังเข้าเฝ้าฯว่า ในหลวงทรงเล่าพระราชทานว่า "ทรงส่งกำลังใจเชียร์นักกีฬาไทยโดยตลอด และคุณทองแดงก็อยู่ข้างๆ ช่วยกันเชียร์นักกีฬาไทยด้วย" รับสั่งเล่าว่าพอนักชกแต้มขึ้น ก็พระราชทานขนมให้คุณทองแดง 1 ชิ้น คุณทองแดงก็มีแรงเชียร์และรู้สึกตื่นเต้นในขณะเชียร์และรู้สึกเหนื่อยไปด้วย ข้อมูลจาก ข่าวสด ฉบับวันทีี 10 กันยายน 2547 และ Thai las vegas,Tuesday,September 20, 2004 |
เสื้อทองแดง
เดือนกุมภาพันธ์ 2545 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานข่าวออกไปทั่วโลกว่า ชาวไทยกำลัง คลั่งไคลแฟชั่นเสื้อสปอร์ตพิมพ์รูปคุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อดีตเคยเป็นลูกสุนัขข้างถนน เอเอฟพีระบุว่า ภาพถ่ายและเรื่องราวของคุณทองแดงได้รับการเผยแพร่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์เสื้อรูปคุณทองแดงในวันที่เสด็จออกจาก โรงพยาบาล ทำให้เสื้อดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่ชาวไทยปรารถนามากที่สุด วันที่เสด็จออกจากโรงพยาบาล ทำให้เสื้อดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่ชาวไทยปรารถนามากที่สุด เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ผลิตเสื้อขายได้ สินค้านี้ก็ขายเป็นเทน้ำเทท่า เอเอฟพียังระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ได้รับการเทิดทูนอย่างสูงสุดจากคนไทยทั้งประเทศ ในช่วงระยะเวลาที่ทรง ครองราชย์นี้ ประเทศไทยเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปแล้ว 20 คน เปลี่ยนรัฐธรรมนูญไปแล้ว 18 ฉบับ และเกิดรัฐประหารรวมกันไปแล้ว 17 ครั้ง
ข้อมูลจาก มติชน ฉบับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 |
สลายจลาจล
พุทธศักราช 2546 เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านขึ้น มูลเหตุเกิดจากการตีพิมพ์ข้อเขียนของสื่อมวลชนกัมพูชา ที่ทำให้ชาวกัมพูชาเข้าใจผิดว่านักแสดงชาวไทยเหยียดหยามชาติกัมพูชา สร้างความไม่พอใจรุนแรงจนเกิดการชุมนุมต่อต้านคนไทย ลุกลามไปจนถึงการเผาทำลายสถานฑูตมาทำลาย เผาโลงศพและธงชาติกัมพูชาเป็นการตอบโต้เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่งราย 700 คน เดินทางมาชุมนุม กันที่หน้าสถานฑูตกัมพูชาในประเทศไทย มีการงัดป้ายสถานฑูตมาทำลาย เผาโลงศพและธงชาติกัมพูชาเป็นการตอบโต้ เมื่อความทราบทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสเตือนสติผ่านองคมนตรี มายัง พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า "เวลานี้เราเป็นพระเอก เป็นผู้ดีอยู่แล้ว อย่าเผลอทำตัวให้กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาชาวโลก ขอให้ทุกคนดำรงตนด้วยความมีสติ" เมื่อพล.ต.อ.สันต์ สรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อัญเชิญพระราชดำรัสดังกล่าวมาบอกกับคนไทยผู้ชุมนุม ผู้ชุมนุมต่างได้คิดและเห็นพ้องด้วยกับพระราชดำรัส ทำให้บรรยากาศที่เร่าร้อนเริ่มผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความปลื้มปิติในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใย ผู้ชุมนุมร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวาย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับรายงานว่าผู้ชุมนุมร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวาย รับสั่งว่า ขอบใจคนไทยทุกคนที่อยู่ที่นี่ และทรงขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ เพียงเท่านี้ คนไทยที่มาร่วมชุมนุมกัน ณ ที่นั้น ก็ตัดสินใจสลายตัวและทยอยกันเดินทางกลับบ้านด้วยวความสงบ
ข้อมูลจาก ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 และสรุปข่าวเด่นการเมือง 46 จากเวปไซต์สำนักข่าวไทย |
ตื่ืนเต้น
หลังจากนั้นสำนักงานข่าวต่างประเทศก็พากันรายงานข่าวนี้ด้วยความตื่นเต้นไปทั่วโลกว่า "บารมีในหลวงสลายจลาจล" บีบีซีรายงานว่า "เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวออกมายุติความขัดแย้งทางการเมืือง" ส่วนรอยเตอร์รายงานว่า "น้อยครั้งที่จะเห็นการยุติความขัดแย้งทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกในขณะนี้
|
24 ชั่วโมง
"...เพื่อนฝรั่งผมเคยถามว่า ทำไมคนไทยถึงได้รักในหลวงมาก ผมเอาภาพถ่ายต่างๆให้เขาดู แล้วบอกว่า King ของเราทรงทำงานเหนื่อยเพื่อคนไทยทั้งชีวิต อะไรที่ทำเพื่อประชาชนคนไทย พระองค์ท่านทรงทำหมด ไม่ว่าคนไทยจะอยู่ส่วนไหนของประเทศ พระองค์ไปถึงหมด แล้วผมก็เอาภาพพระราชวังให้ดู แล้วบอกเขาว่า เห็นไหม พระราชวังที่ท่านอยู่ไม่เหมือนที่อื่นเลย พระองค์อยู่เช่นสามัญชน ทรงทำงานตลอด 24 ชั่วโมง..."
เวปบอร์ด pantip.com จากคุณ : บุหงาตันหยง 6 ม.ค.47 |
เสียหมดทุกอย่าง
"...การพัฒนาชนบทเป็นงานสำคัญ เป็นงานยาก เป็นงานที่จะต้องทำให้ได้ด้วยความสามารถ ด้วยความเฉลียวฉลาด คือต้องเฉลียว และฉลาด ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิใช่มุ่งที่จะหากินด้วยวิธีการใดๆ ใครอยากจะหากินขอให้ลาออกตำแหน่งไปทำการค้าดีกว่า เพราะถ้าทำผิดพลาดไปแล้ว บ้านเมืองจะล่มจม และเมื่อบ้านเมืองเราล่มจมแล้วเราอยู่ไม่ได้ ก็เท่ากับเสียหมดทุกอ่ย่าง..."
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจัาอยู่หัว พุทธศักราช 2512 ตัดจากหนังสือ"โครงการน้ำพระทัยจากในหลวง :ความเขียวของอีสานเขียว" |
ตายไปก็ไม่เสียดาย
"...มีคนที่นราธิวาสคนหนึ่ง ชื่อนายอ้วน แกเป็นกำนันเ่ก่า เป็นคนดีอยู่ในศีลในธรรมเรียบร้อยมาก แล้วก็ขยันทำมาหากิน มีสวนเงาะสวนยาง ไม่รู้เรื่องอะไร ในหลวงเสด็จไปสวนตาคนนี้ ได้ไปนั่งคุยกันใต้ต้นเงาะใหญ่ เป็นเวลาตั้งชั่วโมง แกเขียนจดหมายมาเล่าปลื้มใจ ทนไม่ได้ต้องเขียนมาเล่าให้อาตมรฟัง บอกว่าเจ้าคุณเอ๋ยตั้งแต่เกิดมาเป็นนายอ้วน ไม่มีตอนไหนที่จะดีใจเท่าตอนนี้ ดีใจที่ในหลวงเข้าไปในสวน แล้วไปนั่งไต่ถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านในท้องถิ่น แกบอกว่าถึงแม้จะตายไปก็ไม่เสียดายแล้วชาตินี้ เพราะว่าได้สนทนากับหลวงแล้วปลื้มใจนักหนา
คัดจากปาฐกถาธรรมเรื่อง "พระจริยวัตรของในหลวง" โดย พระเทพวิสุทธิเมธี(ปัญญานันทภิกขุ) 4 ธันวาคม 2520 |
โปรดที่สุด
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวไว้ว่า "เท่าที่ผมทราบมา ไม่มีอะไรที่จะทำให้ทั้งสองพระองค์สำราญพระราชหฤทัยเกินไปกว่า การที่ได้ทรงพบประชาราษฎรของพระองค์ แม้จะใกล้หรือไกลก็ตามที ตามที่เคยมีคำพังเพยแต่ก่อนว่า รัชกาลที่ 1 โปรดทหาร รัชกาลที่ 2 โปรดกวีและศิลปิน รัชกาลที่3 โปรด ช่างก่อสร้าง(วัด) ผมกล้าต่อให้ได้ว่า รัชกาลที่ 9 โปรดราษฎร และคนที่เข้าเฝ้าฯ ได้ใกล้ชิดที่สุดคือราษฎร มิใช่ใครอื่นที่ไหนเลย"
คัดจาก "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชกับการศึกาไทย" จัดพิมพ์โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี |
ภาษาใจ
ข้าราชบริพารที่เคยตามเสด็จเผยว่า การที่ต้องเสด็จฯเข้าใจจนถึงที่อยู่ของราษฎรนั้น เพราะทรงทราบดีว่าราษฎรที่ยากจนนั้น จนแม้การเดินทางออกมาร้องทุกข์ก็ยังยาก ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา บันทึกไว้หนังสือ "ทำเป็นธรรม" ว่าทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ขึ้นไปเยี่ยมราษฎรจนถึงที่อาศัยของเขา แม้ว่าบางบ้านจะโย้เย้หรือทางบ้านต้องทรงพระดำเนินลอดใต้บ้าน บางคราวเสด็จขึ้นบันไดทำด้วยไม้กระบอก ก็จะทรงย่องด้วยฝีพระบาทอันแผ่วเบา ทอดพระเนตรจนถึงก้นครัว ทำให้ทรงสัมผัสความขมขื่นแร้นแค้นนั้นได้อย่างลึกซึ้ง "...บางครอบครัวมีความทุกข์ถึงขนาดบนดวงหน้าปราศจากความรับรู้เย็นร้อนอ่อนแข็งใดๆทั้งสิ้น ทั้งสองพระองค์จะทรงเข้าพระทัยเป็นอย่างดีด้วยภาษาใจ..."
ข้อมูลจาก "ทำเป็นธรรม" โดยท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา |
ขนลุก
ความยากลำบากในการเดินทางเพราะขาดแคลนถนนหนทาง ทำให้พสกนิกรผู้ยากไร้บนแผ่นดินไทย ในยุคต้นรัชกาลนั้นขาดโอกาสในทุกๆ ด้าน จนแม้แต่จะเดินทางไปรับการรักษาความเจ็บป่วยก็ยังยาก เพื่อบรรเทาความเดือด ร้อนของประชาชนที่ไม่อาจเดินทางมายังโรงพยาบาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงส่งโรงพยาบาลเดินทางไปหาประชาชน โรงพยาบาลลอยน้ำลำแรกและลำเดียวในโลก อุบัติขึ้นในกรุงเทพฯ จากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โดยมีชื่อพระราชทานว่า "เวชพาห์น"ลักษณะของเรือนพยาบาลลำนี้ เป็นเรือไม้ 2 ชั้น ประกอบห้องตรวจรักษา ห้องทันตกรรมห้องผ่าตัดเล็ก ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องเครื่องยนต์ เคลื่อนออกจากท่าวาสุกรี เพื่อให้การรักษาพยาบาลแก่ประชาชนครั้งแรกในวันที่ 19 มกราคม 2498 และจนบัดนี้เป็นเวลาห้าสิบปีแล้วก็ยังปฏิบัติหน้าที่ อยู่อย่างเข้มแข็งไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขียว มาเรียม วัย 65 ปี ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ได้รับการรักษาจากเรือเวชพาห์น ในการปฏิบัติงานครั้งที่ 131 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2546 ที่จังหวัดอ่างทอง เผยกับผู้สื่อข่าวว่า "ฉันได้ยินโฆษกประกาศว่า ในหลวงทรงให้เรือเวชพาห์นพร้อมหมอและพยาบาลเดินทางมารักษาให้ถึงหมู่บ้านแล้ว รู้สึกขนลุก ซาบซึ้งในบุญคุณท่านมาก ขอให้ท่านอายุมั่นขวัญยืนอยู่เป็นมิ่งขวัญของประเทศไทยตลอดไปเถิด..."
ข้อมูลจาก "มุ่งสู่สายธาร ปณิธานเบื้องพระยุคลบาท" คมชัดลึก ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2546 |
เสวยบ่ายสี่
ในการปาฐกถาพิเศษ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับปวงชนชาวไทย" ณ ศูนย์สารนิเทศ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เมื่อวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2529 ม.ล.ทวีสันต์ ลดาวัลย์ ในฐานะราชเลขาธิการผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เล่าถึงวันทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "...บางที่กว่าจะเสวยพระกระยาหารกลางวัน กว่่าจะเสวยได้ก็ประมาณบ่ายสี่โมง ซึ่งผู้ที่ตามเสด็จพระราชดำเนินอย่างผมเป็นต้น บางทีก็ต้องพกลูกกวาดไป แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกนางสนองพระโอษฐ์หรือพวกข้าราชบริพารฝ่ายหญิงก็มักจะมีของติดกระเป๋า และท่านก็กรุณาให้พวกเราได้รับประทานรองท้อง แน่ละึครับเจ้านายทุกพระองค์ท่านก็ต้องทรงอดทน ผมจึงได้กราบเรียนในตอนต้นว่าทรงเสียสละ ทรงมีขันติธรรมเป็นอย่างมาก..."
ข้อมูลจาก "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช" จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการงาน 5 ธันวามหาราช ครั้งที่ 11 ประจำปี พ.ศ. 2530 |
เรื่องของคุณยาย
"จำได้ว่าตอนที่โรงพยาบาลศิริราชเปิดให้ประชาชนลงชื่อถวายพระพรเนื่องจากพระองค์ท่านทรงพระประชวร และเปิดขายเสื้อคุณทองแดง ดิฉันจึงเดินทางไปซื้อเสื้อคุณทองแดงด้วย ....ระหว่างขึ้นเรือข้ามฟาก ดิฉันได้เห็นคุณยายท่านหนึ่งอายุราวแปดสิบปี แต่งตัวสวยมาก นุ่งผ้าไหมเสื้อลูกไม้ คุณยายถามว่าจะไปลงชื่อถวายพระพรได้อย่างไร ดิฉันจึงจูงคุณยาย ไปที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยกัน ...ระหว่างทางคุณยายเ่ล่าว่า คุณยายนั่งรถเมล์มาจากดอนเมือง หลงทางหลายครั้ง ที่มาเพราะห่วงพระองค์ท่าน พูดแล้วคุณยายก็น้ำตาไหล คุณยายท่านนี้เขียนหนังสือไม่เป็น เวลามาลงนามถวายพระพรต้องวานเจ้าหน้าที่เขียนให้ ...ดิฉันถามคุณยายว่าเดินทางไกลอย่างนี้ไม่เหนื่อยเลยหรือ คุณยายตอบว่าไม่เหนื่อย คุณยายอย่ากทำอะไรให้พระองค์ท่าน แต่ไม่มีเงินทอง ยายทำได้แค่นี้..."
คนไทยคนหนึ่ง
|