|
|
สหภาพฯทีโอทีขนคนค้ำเก้าอี้ วาสุกรีหวังกดดันพล.อ.สพรั่งให้ปลดซีอีโอ
|
|
สหภาพฯทีโอทีขนคนค้ำเก้าอี้ วาสุกรีหวังกดดันพล.อ.สพรั่งให้ปลดซีอีโอ |
|
|
สหภาพฯทีโอทีขนคนค้ำเก้าอี้ วาสุกรีหวังกดดันพล.อ.สพรั่งให้ปลดซีอีโอ |
โดย ผู้จัดการออนไลน์ |
18 พฤษภาคม 2550 10:32 น. |
|
สหภาพฯทีโอที ท้าทายประธานบอร์ดพล.อ.สพรั่ง ไม่เลิก เตรียมขนคนก่อม็อบถล่มซีอีโอ ค้ำยันเก้าอี้รองฯวาสุกรี ด้านสมาชิกสหภาพฯ เอียนกรรมการเต็มทน ไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์สมาชิก แต่กลับเล่นเกมการเมืองเป็นเครื่องมือฝ่ายบริหาร ด้านบอร์ดทีโอทีเตรียมพิจารณา 3 เรื่องใหญ่ แหล่งข่าวจากบริษัท ทีโอที กล่าวว่าในวันนี้ (18 พ.ค.) สหภาพฯทีโอที จะเกณฑ์สมาชิกในส่วนภูมิภาค เพื่อเปิดเวทีไฮปาร์คถล่มนายสมควร บูรมินเหนทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอที พร้อมทั้งค้ำเก้าอี้นายวาสุกรี กล้าไพรี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และกดดันบอร์ดทีโอทีที่มีพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน ตามแนวทางที่สหภาพฯทีโอทีถนัดเหมือนที่เคยกดดันพล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) หลังมีแนวโน้มว่าในการประชุมบอร์ดจะมีการพิจารณาโยกย้ายนายวาสุกรีจากตำแหน่งงานที่รับผิดชอบหลังสร้างความเสียหายให้ไทยโมบายจนมีหนี้สะสมเกือบ 8 พันล้านบาทและมีชนักติดหลังหลายเรื่องอย่างปัญหาบริษัท มิลคอม ซิสเต็มส์ที่นายวาสุกรีเซ็นสัญญาให้ทำการตลาดและการลักลอบนำทราฟิกเถื่อนต่างประเทศในระบบวีโอไอพีผ่านเข้ามายังเน็ตเวิร์กของไทยโมบายโดยรายได้ไม่เข้ารัฐแต่เข้ากระเป๋าผู้ที่เกี่ยวข้องเนื่องจากไม่เคยมีการบันทึกรับรู้รายได้ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมายังมีใบปลิวโจมตีนายสมควรมากมายหลายฉบับเป็นการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับการเปิดเวทีไฮปาร์คของสหภาพฯ โดยใบปลิวดังกล่าวทำโดยปราศจากความรับผิดชอบและเป็นการกล่าวร้ายล้วนๆ ซึ่งหากมีข้อเท็จจริงก็น่าจะดำเนินการทางกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกันกรรมการสหภาพฯบางคนก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายวาสุกรี จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการเคลื่อนไหวของสหภาพฯเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ขององค์กรหรือต้องการถล่มนายสมควรเพื่อสร้างภาพที่ดีและช่วยค้ำเก้าอี้นายวาสุกรี ตอนนี้สมาชิกสหภาพฯ ไม่พอใจกรรมการสหภาพฯมาก เพราะเรื่องผลประโยชน์ของสมาชิกไม่สนใจอย่างเรื่องโบนัสประจำปี 2549 ที่รัฐวิสาหกิจอื่นรับไปหมดแล้ว แต่กลับเป็นเครื่องมือให้ผู้บริหารถล่มซีอีโอ เล่นเกมการเมืองภายในองค์กรทั้งๆที่โบนัสสามารถจ่ายได้ภายในต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา แต่กลายเป็นว่าต้องล่าช้าไปถึงกลางเดือนมิ.ย. ชง 3 เรื่องให้บอร์ดพิจารณา พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการบอร์ด ทีโอที กล่าวว่าจะนำข้อสรุปโครงการขยายโทรศัพท์ 5.6 แสนเลขหมาย ปัญหาของกิจการร่วมค้าไทยโมบาย ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 1900 เมกะเฮิรตซ์ และปัญหาระบบบิลลิ่ง เข้าสู่ที่ประชุมบอร์ดทีโอทีเพื่อพิจารณา หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้มอบหมายให้คณะกรรมการชุดพิจารณากลั่นกรอง(บอร์ดเล็ก) ทำการพิจารณาเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาก่อนนำเสนอบอร์ดใหญ่ โดยเมื่อวานนี้( 17 พ.ค.) พ.อ.นที ได้แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัญญาจ้างโครงการขยายโทรศัพท์ 5.6 แสนเลขหมาย อย่างประเด็นเรื่องค่าปรับที่เกิดขึ้นตามสัญญาว่าจะปรับจำนวนเท่าไหร่จาก 0.1% ของโครงการทั้งหมด หรือ 0.1%ของงานที่เหลือส่งมอบ โดยจะส่งสัญญาให้อัยการพิจารณาได้ภายในวันนี้(18 พ.ค.) ทั้งนี้โครงการโทรศัพท์ 5.6 แสนเลขหมาย ได้เริ่มดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ตั้งแต่เดือนพ.ค. 2548 โดยมีกำหนดการติดตั้งแล้วเสร็จ 15 เดือน หรือวันครบกำหนดสิ้นสุดสัญญาเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2549 โดย ซีเมนส์ เป็นผู้รับผิดชอบในโซนที่ 1 คือ เขตกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่า 2,035.6 ล้านบาท กิจการร่วมค้าอีริคสัน เป็นผู้รับผิดชอบในโซนที่ 2 เขตภาคกลาง และภาคใต้ ในราคา 1,892.8 ล้านบาท และโซนที่ 3 ภาคตะวันออกและภาคเหนือ มูลค่า 1,869.9 ล้านบาท รวมราคาทั้งหมด 5,798.3 ล้านบาท เป้าหมายหลักของโครงการฯ คือ การขยายบริการไปในพื้นที่ที่โทรศัพท์เข้าไม่ถึง แบ่งเป็น ส่วนนครหลวง 74,670 เลขหมาย คิดเป็น 13% ส่วนภูมิภาค 490,830 เลขหมาย คิดเป็น 87% ซึ่งการลงทุนขยายครั้งนี้ ทีโอที เพื่อตอบสนองแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 ปี พ.ศ. 2545 -2549 ที่เริ่มเตรียมดำเนินการในปี 2544 ได้รับวงเงินลงทุน 8,045.32 ล้านบาทและได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 46 สำหรับรายละเอียดโครงการดังกล่าวจะต้องดำเนินการ 2 ส่วน คือ งานด้านข่ายสายตอนนอก กับงานด้านอุปกรณ์ชุมสายที่ประกอบด้วย Access Node และ Super Node โดยอุปกรณ์ Super Node ที่ระบบดังกล่าวจะพัฒนาให้เกิดบริการในรูปแบบ Next Generation Networks (NGN) ซึ่งสามารถให้บริการด้านการส่งข้อมูลมัลติมีเดียหรือที่เรียกว่าเป็นระบบ 3G สำหรับโทรศัพท์พื้นฐาน พ.อ.นที กล่าวว่า พบประเด็นปัญหาที่สำคัญ 2 ส่วนที่ส่งผลให้โครงการล่าช้าคือ 1. การกำหนดระยะทางระหว่างตู้ชุมสายระดับอำเภอ (COT)ถึงตู้ชุมสายระดับตำบล(RT)โดยกำหนดระยะทาง 6 กิโลเมตรที่ทำให้ทีโอทีต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มเติม จำนวน 750 ล้านบาท 2. เรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการและเงินค่าปรับบริษัทเอกชน ส่วนสาเหตุที่ต้องทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 750 ล้านบาท คือ สัญญาได้กำหนดให้มีระยะทางระหว่างชุมสายระดับอำเภอ(COT)และชุมสายระดับตำบล(RT) เป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร และกำหนดให้ระยะทางระหว่าง RT กับบ้านผู้ใช้บริการเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร โดยการกำหนดระยะทาง 6 กิโลเมตร ดังกล่าว เกิดขึ้นจากการสำรวจพื้นที่ชนบทห่างไกลเพื่อสำรวจความต้องการใช้โทรศัพท์พื้นฐานตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นระยะทางที่ไม่สมเหตุสมผลกับเวลาในปัจจุบัน เนื่องจากในปัจจุบันประเทศได้พัฒนาความเจริญเข้าสู่พื้นที่ชนบท จึงทำให้ระยะของพื้นที่ห่างไกลขยายออก ปัญหาเรื่องการจ่ายเงินค่าดำเนินการและเงินค่าปรับบริษัทเอกชนในการดำเนินการนั้น พบว่า อาจทำให้ผู้รับเหมาทิ้งงานในช่วงท้ายได้ สำหรับแนวทางการแก้ปัญหา พ.อ.นที กล่าวว่า หากได้ข้อยุติในแง่กฎหมายที่เกี่ยวข้องหลังจากสำนักอัยการสูงสุด ได้ตรวจสอบข้อกฎหมาย และสัญญาแล้ว ในเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเป็นความรับผิดชอบของคู่สัญญาหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ โดยทางบอร์ด ทีโอที จะดำเนินการสรุปค่าใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนทันที โดย ทีโอที จะกำหนดวันและเวลาที่บริษัทคู่สัญญาจะต้องดำเนินงานตามโครงการให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 -45 วัน ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ ทีโอทีจะยกเลิกสัญญา และเข้าสู่กระบวนการขึ้นบัญชีเป็นผู้ไม่มีสิทธิ์เสนอราคากับบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมด บอร์ดจะเร่งรัดให้โครงการนี้แล้วเสร็จใน 2 เดือน เพื่อเดินหน้าให้บริการสู่ประชาชนหลังจากที่เสียโอกาสจากความล่าช้ามาเกินระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ในตอนแรกนายสมควร ได้เสนอที่จะส่งสัญญาโครงการ 5.6 แสนเลขหมายให้คณะกรรมการกฤษฏีกาพิจารณาตามนโยบายของนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที แต่หลังจากที่บอร์ดทีโอทีพิจารณา ก็มีมติส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแทน นายยิ่งศักดิ์ ศรีสุขสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ภาคขายและบริการนครหลวงที่ 1 สายงานขายและบริการลูกค้านครหลวง กล่าวในฐานะโปรเจกต์เมเนเจอร์ว่า ทีโอทีได้ดำเนินการปรับซีเมนส์และกิจการร่วมค้าอิริคสันที่เป็นผู้ชนะการประมูลทั้ง 3 โซนแล้ว ซึ่งตามสัญญา ส่วนของ ซีเมนส์ ที่รับผิดชอบพื้นที่โซนที่ 1 มีมูลค่าโครงการ 2,035 ล้านบาท โดย ทีโอทีจ่ายเงินไปแล้ว 217 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจ่ายค่าจ้าง พร้อมทั้งหักค่าปรับไปแล้ว 42 ล้านบาท ซึ่งจะใช้วิธีการตัดจากงวดบิลในงวดที่ 2 ที่ต้องจ่ายให้ จากที่ได้ส่งมอบให้แล้วในบางพื้นที่แล้วเสร็จ จำนวน 4 COT ส่วนโซนที่ 2 และโซนที่ 3 กิจการร่วมค้าอิริคสันเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่มีมูลค่าโครงการประมาณ 3,600 ล้านบาทยังไม่มีการปรับแต่อย่างใดเนื่องจากยังอยู่ในกระบวนการส่งมอบและตรวจรับงาน
| | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|