การใช้เครื่องสำอางให้ถูกต้องนั้นก่อนอื่นควรจะทราบถึงพื้นฐานความรู้ทางด้านผิวหนังของคนเราก่อน ลักษณะผิวหนังของคนแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ
1. ผิวชั้นนอกสุด เรียกว่า หนังกำพร้า (Epidermis) ประกอบด้วย 3 ส่วน 1. ส่วนนอกสุดของหนังกำพร้าเป็นส่วนที่มีการสร้างเซลล์อยู่ตลอดเวลา เซลล์บางส่วนมีหน้าที่สร้างเมลานิน คือสารที่ทำให้เกิดสีผิว ต่อไปคือ 2. ชั้นกลางของหนังกำพร้า ผิวหนังชั้นนี้มีหน้าที่สร้างเคราติน เป็นโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างผมและเล็บ เมื่อเซลล์เหล่านี้หมดอายุไป มันจะกลายเป็น 3. ผิวชั้นนอก ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเซลล์ข้างใต้ที่มีชีวิต เมื่อเซลล์ที่ตายแล้วตกสะเก็ดหลุดออกไป ก็จะมีเซลล์ใหม่เกิดแทนขึ้นมา
2. ผิวชั้นกลาง ถัดจากหนังกำพร้าลงไปเป็นชั้นหนาของผิวหนังแท้อันเป็นส่วนสำคัญชั้นที่สองของโครงสร้างผิว (Cutis) ประกอบด้วย เส้นเลือด ต่อมเหงื่อ และเนื้อที่ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นได้ เส้นประสาทและรูขุมขน อันเป็นที่เกิดของขน
3. ผิวชั้นล่างสุด เป็นชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutis) ซึ่งพวกอยู่ตามกล้ามเนื้อและกระดูกของร่างกาย
ผิวหนังมีหน้าที่อยู่ 4 ประการ คือ
1. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
2. ขจัดของเสีย
3. สร้างวิตามินดี
4. เป็นเกราะป้องกันสารพิษเข้าสู่ร่างกาย
ผิวหนังของเรานั้นมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ประมาณ pH 5 ถึง 5.5 ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงรักษาผิว หรือผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นอื่น ๆ ต่อผิวหนัง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างใกล้เคียง หรือเท่ากับผิวหนังให้มากที่สุด ผิวหน้านับเป็นผิวที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่ออายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นจะทำให้หน้าแก่เกินวัย การถนอมรักษาความงามของผิวหนัง ถือว่ามีความจำเป็นค่อนข้างมากและการใช้เครื่องสำอางจะต้องมีการใช้แตกต่างกันตามชนิดจองผิวดังนี้ คือ
1. ผิวแห้ง (dry skin) เป็นลักษณะของผิวที่มองดูแห้ง อาจแตกเป็นขุยมักจะรู้สึกตึงและจะปรากฏริ้วรอยได้ง่าย เนื่องจากขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงบนผิว ผิวชนิดนี้มักจะบางมากและจะทำให้แลดูมีอายุก่อนวัย หากไม่ดูแลรักษาอย่างดี ผิวแห้งจะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมากจากแสงแดดที่ร้อนจัด การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและลมแรง หากแต่งหน้าจะมองเห็นเครื่องสำอางอย่างชัดเจน เนื่องจากเครื่องสำอางไม่ได้กลมกลืนไปกับผิว ผู้ที่มีผิวแห้งได้เปรียบตรงที่รูขุมขนไม่กว้างและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสิว เครื่องบำรุงผิวทุกชนิดที่ใช้ควรเป็นชนิดอ่อน ควรใช้ครีมล้างหน้าชนิดที่เป็นครีมเนื้อหนัก (Rich Cream) หรือน้ำนมซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่าชนิดที่ใช้สำหรับผิวมัน ไม่ควรล้างหน้าด้วยสบู่บ่อย ๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งขึ้น ควรใช้ครีมล้างหน้าทาบาง ๆ ให้ทั่วผิวหน้าและลำคอ แล้วเช็ดออกด้วยสำลีแล้วล้างด้วยน้ำ จากนั้นจึงใช้โทนเนอร์อย่างอ่อนแต้มลงบนผิวหน้าหรือสเปรย์ทั่วใบหน้า เพื่อกระชับรูขุมขนและปรับสภาพผิว อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสูบฉีดของโลหิตด้วยและอย่าลืมใช้พอกหน้าชนิดอาทิตย์ละครั้ง ควรใช้ครีมบำรุงผิวทาหน้าทุกครั้งหลังการล้างหน้า เพื่อทดแทนความชุ่มชื้นที่ผิวสูญเสียไป และบำรุงผิวรอบ ๆ ดวงตาเป็นประจำ
2. ผิวมัน (oil skin) ผิวมันมีสาเหตุจากต่อมไขมันมีความตื่นตัวมากเกินไป จึงผลิตน้ำมันออกมามาก ทำให้มีน้ำมันอยู่บนใบหน้ามาก โดยเฉพาะบริเวณจมูกและแก้ม ผิวจะแลดูหยาบไม่ละเอียดและมีรูขุมขนห่าง มักจะมีสิว สิวหัวดำ หรือจุดด่างดำได้ง่ายในช่วงวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงที่ต่อมไขมันมีความตื่นตัวมากที่สุด ผิวมันมักจับฝุ่นละอองและเศษสิ่งสกปรกได้ง่าย ผู้ที่มีผิวมันจำเป็นจะต้องล้างหน้าให้สะอาดหมดจดอยู่เสมอ การล้างหน้าแต่ละครั้งควรล้างซ้ำถึง 2 ครั้ง ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ใช้ควรเป็นประเภทที่มีน้ำมันน้อย และที่สำคัญควรมีน้ำมันหอมระเหย (essential oil) และสารสกัดสมุนไพร (dried herb extract) ที่มีคุณสมบัติลดความมัน ลดการติดเชื้อ และลดการอักเสบ และสารที่ช่วยลดการอักเสบของสิวและลบรอยแผลสิว เครื่องสำอางสำหรับผิวกายมัน ควรใช้สบู่เหลวอ่อนหรือเจลอาบน้ำ (wash gel) จะเหมาะที่สุด แต่ถ้าผิวกายท่านไม่มันนัก ท่านก็อาจใช้ครีมอาบน้ำสลับกับสบู่ ๆ และเจลอาบน้ำ ครีมบำรุงผิวที่ดีที่สุด คือ มีน้ำมันน้อยจนถึงไม่มีน้ำมันอยู่เลย การขัดผิวหน้าและผิวกายเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มากสำหรับผิวมัน